?เคยสงสัยกันไหมว่าทำไม “Google map” รู้ได้ไงว่า ตรงไหนรถติดหรือไม่ติด??

วันนี้ทีมงานวิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ Rcimมาเฉลยข้อข้องใจนี้แล้วครับ

?ปัญหาการจราจรของเมืองไทยเป็นอะไรที่น่าปวดหัวมาก และมันคงจะดีมาก ถ้าหากเราสามารถรู้ได้ว่าตรงไหนรถติด ตรงไหนถนนโล่ง?

และตัวช่วยได้ดีที่สุดคือ Google Map นั้นเอง แต่ทำไมมันถึงรู้ล่ะ ใครเป็นส่งข้อมูลหรือ??? วันนี้เรามาหาคำตอบกันครับ

1. Google รับข้อมูลจากผู้ใช้ Smartphone ที่เปิดใช้งานผ่านแอพ Google map หรือ GPS อยู่ที่อยู่บนมือถือนั้นหละครับ และต้องเปิดโหมดแชร์ Location Service ด้วยนะ เมื่อเราอยู่บนตำแหน่งที่อยู่บนถนน ตัวเครื่องก็จะส่งข้อมูลไปยัง Google โดยข้อมูลสมาร์ทโฟนที่เราใช้อยู่นี้ จะส่งข้อมูลแบบไม่ระบุตัวตน (anonymous data) กลับไปบอกทาง Google ว่าเรากำลังเคลื่อนที่ที่ความเร็วเท่าใด แล้วนำไปเปรียบเทียบกับโทรศัพท์เครื่องอื่นๆ ที่อยู่บนถนนเดียวกับเราและรอบๆเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง โดยระบบหลังบ้านของแอพ จะประมวลข้อมูลเหล่านี้จนเห็นภาพรวมของการจราจรทั้งหมด แล้วจึงส่งข้อมูลกลับมาให้เราได้ใช้งานกันต่อไป

~เส้น Traffic ขึ้นมาแบบ Real time อยู่ 4 สี

สีเขียว – ถนนโล่ง ขับสบาย รถไม่ติด

สีส้ม – รถค่อนข้างหนาแน่น แต่ยังเคลื่อนตัวได้เรื่อยๆ

สีแดง – การจราจรหนาแน่น รถเริ่มติด

สีแดงเลือดหมู – นิ่งสนิท ติดสุดๆ

~สิ่งที่น่าสนใจคือ

ข้อมูลที่ส่งไปประมวลผลมีขนาดไม่กี่ไบท์ ทำให้ไม่เปลื้องดาต้ามากนัก

ข้อมูลที่ระบบได้รับไปจากเรา ทาง Google ไม่ได้ดึงข้อมูลส่วนตัว แต่จะเป็นการแชร์ในส่วนของตำแหน่ง Location

เพื่อให้ข้อมูลแม่นยำมากขึ้น และเป็นแบบ Real time และด้วย ณ ปัจจุบัน คนใช้ Smart phone เยอะขึ้นจะทำให้ความแม่นยำ

ของ Google map ดีขึ้น ครอบคลุมเส้นทางเยอะขึ้นเรื่อยๆ

2.ข้อมูลจากผู้ใช้ WAZE

WAZE แอปพลิเคชันแผนที่นำทางรูปแบบเรียลไทม์โดยใช้ข้อมูล crowdsource ในการวิเคราะห์การจราจร ให้ผู้ขับขี่พาหนะสามารถเข้าถึงข้อมูลการจราจรแบบทันต่อเหตุการณ์ เพื่อช่วยค้นหาเส้นทางที่คล่องตัวที่สุดในการเดินทางในเมือง และได้ถูกทาง Google ซื้อไปแล้วเรียบร้อย

หลังจากที่ Google เข้าซื้อแอพนี้ ก็มีการรวมเอาข้อมูลจากผู้ใช้ใน Waze มาแสดงขึ้นบน Google Maps ด้วย ทำให้ผู้ใช้ทั้งสองแอพสามารถรู้ถึงเส้นทางที่กำลังจะขับไปว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างได้ทันที

และอีกตัวช่วยนึง ที่เพิ่มความแม่นยำให้กับถนนในเมือง การหาตำแหน่งด้วยวิธี Observed Time Difference Of Arrival (OTDOA) โดยผ่านระบบผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ โดยคำนวนจากมือถือ ที่จับสัญญาณกับเสาของโทรศัพท์แต่ละต้น เพื่อคำนวนหาตำแห่งของโทรศัพท์นั้นเอง ซึ่งจะทราบถึงการเคลื่อนที่ ความเร็ว ทิศทาง เป็นต้น

ด้วยการรวมการใช้งานจาก Location Service จากผู้ใช้งานในจุดนั้น ๆ นำมาคำนวนความหนาแน่นบนเส้นทางการจราจรในเส้นทางต่างๆ ค่อนข้างที่จะแม่นยำ ได้วิเคราะห์จากตำแหน่งจากผู้ที่อยู่ในจุดนั้นจริงๆ

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เป็นคำตอบที่หลายคนสงสัยว่า Google map ทำงานอย่างไร รู้การจราจร แบบ Real-time ได้ไง

และนี้ก็เป็นสาระดีๆที่ทางเราเอามาฝากกันครับ

ที่มา: fossBytes, Cisscenter, Droidsans


0 Comments

ใส่ความเห็น

Avatar placeholder

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *